Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

กาแฟ กับความรัก

เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรัก เพราะในเดือนนี้มีวันวาเลนไทน์ (Valentine) ซึ่งคงมีคนพูดถึงที่มา มากแล้ว ผมเลยจะขอพูดถึงความรักในงานที่เราทำก็แล้วกัน

ผมคิดว่าคนทั่วไปเชื่อว่า หากเราจะทำอะไรสักอย่างให้ได้ดี และให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีความรักในงานที่เราทำ แต่สำหรับผม ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีมากกว่านั้นครับ อย่างน้อยก็ต้องมีอีก2ข้อหลัก และ2ข้อย่อย ใน 2 ข้อหลักผมมักจะใช้คำว่า ต้องมีแรงบันดาลใจ (inspiration) และ ความกระหาย (passion)

ส่วน 2 ข้อย่อย(แต่หลายคนมักจะคิดว่าเป็นข้อหลักมากกว่า 555) คือ ทุนและโอกาส

ขอขยายในข้อย่อยก่อนก็แล้วกันครับ

ทุน ในที่นี้ มิได้หมายถึง เงินแต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงความรู้ในเรื่องนั้นๆด้วย ซึ่งแน่นอน ในการเริ่มจะทำร้านกาแฟที่ตัวเองรักนั้นจำเป็นต้องใช้เงินทุนเป็นใบเบิกทางอันดับแรก เพราะต้องลงทุน ยิ่งอยากให้ร้านของตนเป็นที่สะดุดตามากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องลงทุนกับการตกแต่งมากมาย ในร้านสวยน่านั่ง แต่ทำไมผมถึงให้ เรื่องเงินเป็นข้อย่อยซะล่ะ ก็เพราะเท่าที่ผ่านมา ธุรกิจร้านกาแฟสดในเมืองไทย ผมมองว่าเป็นธุรกิจที่ฉาบฉวย คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจ ไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญในเรื่องของการทำกาแฟที่เรียกว่า Espresso กันอย่างจริงจังมากนัก และเมื่อคิดลงทุนเปิดร้านกาแฟ ก็มักจะคิดแค่เรื่องจะทำอย่างไรให้ร้านของตนสวย บรรยากาศดีน่านั่ง ซึ่งนั่นก็ถูกแต่ไม่ทั้งหมด ในหลายๆครั้งที่ผมได้ไปนั่งดื่มกาแฟร้านอื่นๆหลายๆร้าน ยอมรับครับว่าร้านสวย น่านั่ง แต่มาตกม้าตายในเรื่องกาแฟซะเป็นส่วนใหญ่ เข้าทำนองสวยแต่รูป จูบไม่หอม บางร้านสวยมากแต่เครื่องชงและอุปกรณ์สำหรับชงกาแฟเล็กเกินไปสำหรับที่จะเหมาะแก่การชงกาแฟขาย พูดง่ายๆคือ ใช้เครื่องชงกาแฟที่เรียกว่าโฮมยูสนั่นเอง รวมถึงคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ต่ำมากเพราะเน้นต้นทุนถูกเข้าว่า แต่ในขณะที่บางร้านเครื่องชงและอุปกรณ์ร้านกาแฟอลังการมาก แต่กลับชงกาแฟไม่เป็น ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำ เช่นชง Espresso ลากช็อตยาวมาซะเต็มแก้วขนาดใหญ่ เป็นต้น เห็นแบบนี้ผมก็นึกเสียดายเครื่องขึ้นมาทันทีครับ เพราะฉะนั้นในเวลานี้ ใครมีสตางค์เยอะก็ทำร้านกาแฟได้ แต่จะมีสักกี่ร้านที่ทำร้านกาแฟที่เป็นร้านกาแฟจริงๆ

จึงจำเป็นต้องลงทุนในเรื่ององค์ความรู้ควบคู่ไปด้วย เพราะการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือ การศึกษาหาความรู้ ครับ

2.เรื่องโอกาส บางคนมีเงินแต่ไม่มีโอกาส ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน แต่ที่ผมละไว้เป็นเรื่องรองก็เพราะ โอกาสนั้นย่อมมีเสมอในคนที่มองหาโอกาส หากนอนรออยู่ที่บ้านเฉยๆ โอกาสนั้นคงมาไม่ถึงเช่นกัน หากยังไม่ได้โอกาสในเรื่องทำเลเปิดร้าน คุณก็ยังสามารถหาโอกาสศึกษาเพิ่มเติมในศาสตร์ของกาแฟได้ ซึ่งในปัจจุบันโอกาสที่จะให้เรียนรู้นั้นมีมากกว่าเมื่อ5-10ปีที่แล้ว แน่นอน

ซึ่งหากใครมีพร้อมทั้ง2ข้อย่อยนี้ได้ก็ ย่อมสามารถสร้างร้านกาแฟในฝันที่คุณต้องการขึ้นมาได้ และอาจจะทำได้ดีด้วย แต่ถ้าคุณมีอีก2ข้อใหญ่นี้แหละก็ ยิ่งดีมากๆครับ

ผมพบว่าในเวลาที่เราเริ่มเบื่อหน่ายกับการทำงาน เราจำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจ (Inspiration)ครับ หรือในขณะที่เรายังค้นหาตัวตนของตัวเราเองยังไม่พบ เราต้องการไอดอล เพื่ออย่างน้อยให้เราได้มีธง สำหรับเป็นจุดหมายที่เราจะก้าวไป อย่างการเทลาเต้อาร์ต ในเบื้องต้นนั้น ผมไม่มีครูที่จะสอนผมครับ มีแต่คุณครู Youtube ที่พอจะเป็นแหล่งในการศึกษาหาแนวทางการทำ แต่ก็ไม่ค่อยประสบผลเท่าที่ควร จึงเริ่มเบื่อๆไม่ค่อยอยากทำ

แต่ในที่สุดผมก็ได้เจอไอดอลของผม ที่จุดประกายให้ผมกลับมาหัดเทลาเต้อาร์ตใหม่ แรงบันดาลใจของผมก็คือ คุณหมอพร (ตามอ่านเรื่องของหมอพรได้ที่นี้)

หมอพรก็หัดเทลาเต้อาร์ตด้วยตนเองเช่นกัน ประกอบกับไม่ได้ทำอาชีพขายกาแฟเป็นหลัก แต่อาศัยความเพียร หัดทุกวันจากเครื่องชงโฮมยูส ในที่สุดก็สามารถพัฒนาเทคนิคจนเทลาเต้อาร์ทได้อย่างงดงาม

ลายเซ็นต์ลาเต้อาร์ท อันเป็นเอกลักษณ์ของคุณหมอพร

ผมจึงมองว่าเรื่อง แรงบันดาลใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อใดที่เราขาดสิ่งนี้ไป เราจะเริ่มเป็นหุ่นยนต์ ทำเพราะต้องทำ แม้ทำได้ดีแต่จะขาดหัวใจที่ใส่ลงไปในงานนั้นๆครับ และแรงบันดาลใจก็ใช่ว่าจะมีแค่คนเดียว เราอาจจะมีได้ในหลายๆคน เพื่อในงานมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

เรื่องสุดท้ายคือ ความกระหาย (Passion) หลายๆท่านอาจจะเรียกต่างๆกันไป แต่ผมชอบคำนี้ครับ “กระหาย” กระหายในความรู้ใหม่ๆเพื่อพัฒนาตัวเองและสินค้าของตนอยู่เสมอ กระหายที่จะทำให้ได้ถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า เป็นต้น

ผมพบว่า เพื่อนๆของผมในสายอาชีพนี้ แต่ละคนมี Passion กันทุกคน อย่างพี่อุดม แห่ง Mister’ Lee ขอนแก่น ผมแค่ถามพี่ดมว่าทำไม พี่ถึงต้องซื้อเครื่อง Clover มาใช้ด้วย เพราะราคาที่ซื้อเครื่องชงตัวนี้ คุณสามารถถอยรถซิตี้คาร์ ได้อย่างสบายๆ 1คัน และที่สำคัญเครื่อง Clover ทำได้เพียงกาแฟดำร้อนเท่านั้น แถมยังขายกาแฟดำจากเจ้าเครื่องตัวนี้ในราคาเพียงแก้วละ 60 บาทเอง ผมถามว่าเมื่อไรจะคืนทุนล่ะพี่ พี่ดมตอบว่า ผมมองข้ามสเต็ปนั้นไปแล้ว สิ่งที่ Mister Lee’s ต้องการคือ สามารถทำกาแฟให้ลูกค้าได้เสพกาแฟที่ดีมีคุณภาพตามที่ผมต้องการ อย่างนี้ ไม่เรียกว่า Passion ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร นี่แค่หนึ่งตัวอย่างที่ผมเจอมา

พี่อุดมแห่ง Mister Lee’s ขอนแก่น

Clover

และนอกจากทั้ง 2 ท่านที่ผมเอ่ยมา ยังมีบุคคลในวงการกาแฟอีกหลายท่าน ที่ผมศรัทธา ชื่นชม และนำมาเป็นไอดอล ทั้งแรงบันดาลใน และ Passion อย่างเช่น คุณบุ๊ง ครูคัพปิ้งคนแรกของผมแห่ง Bangkok Espresso Lab, คุณวุฒิแห่ง Seat2Cup และคุณมดแดงไฟ , และพี่ไนซ์ พี่สาวแสนเก่งแห่ง P&F Coffee, พี่เก๋ พี่ชายที่แสนดีแห่ง Roytawan Coffee, คุณอ๋า BlueKoff ครูกาแฟคนแรกของผม, คุณซาน แห่ง Peaberry.Lmt เพื่อนที่ให้แนวคิดเรื่องธุรกิจกาแฟ, พี่ณรงค์ แห่งเบญจมิตร คอฟฟี่ พัทยา, คุณตู๋ EspressoMan, คุณเขมแห่ง October Coffee เชียงใหม่ เป็นต้น

นี่เป็นเพียงบางส่วน ที่ผมชื่นชมจากใจจริง (ขออภัยในหลายๆท่านที่ยังไม่ได้เอ่ยนาม) และเล็งเห็นว่า เขาเหล่านี้คือผู้ที่มีความรักในอาชีพที่เค้ารักเป็นอย่างมาก (บางครั้งอาจจะต้องเรียกว่า บ้า Crazy เข้าเส้นเลยก็ได้) โดยเฉพาะน้องชายอีกท่านหนึ่งที่ผมชื่นชมในการเทลาเต้อาร์ทเป็นอย่างมาก คนคนนั้นคือ คุณแน่ หรือน้าอิมแห่ง Impresso เชียงใหม่ ที่เมื่อวันคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา โชคร้ายถูกอันธพาลรุมทำร้าย บาดเจ็บสาหัส ต้องได้รับการผ่าตัดสมอง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเห็นได้เลยว่าน้องเขาคนนี้ มีความรักในกาแฟมากมายสักเพียงใด นั่นคือ เมื่อลืมตาหลังการผ่าตัดใหญ่เสร็จสิ้นลง สิ่งที่ออกจากปากของเค้า ได้สะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาได้อย่างทรงพลังในความรู้สึกของผม น้องแน่พูดสั่งงานกับลูกน้องว่า “ให้ไปเปิดร้าน ไปเช็คช็อตกาแฟ ระวังกาแฟเปรี้ยว กาแฟใกล้หมดให้ดูด้วย”

น้าอิม Impresso

ลายฟีนิกซ์ โดยน้าอิม Impresso

ลาย จตุคามรามเทพ ที่เคยโด่งดังในอดีต ก็มาจากฝีมือของ น้าอิม Impresso

แล้วคุณแน่ก็หลับต่อ ตื่นมาอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรไปก่อนหน้านี้ พูดง่ายๆคือ เขาพูดจากจิตใต้สำนึก ของเขานั่นเอง ในความห่วงใยที่มีต่อกาแฟ ที่มีต่อลูกค้าของเขา ปัจจุบันคุณแน่ อาการดีขึ้นตามลำดับ คาดว่าจะกลับมาโชว์ลาเต้อาร์ท ให้เราได้ชื่นชมกันอีกเร็วๆนี้ครับ

แล้วคุณล่ะ วันนี้คุณได้ทุ่มเทความรักแบบนี้ให้ใคร หรืออะไร หรือยังครับ

สุขสันต์วันแห่งความรัก(กาแฟ) นะครับ ^__^

โลกของกาแฟช่างกว้างใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆครับ

Moka Pot

โดยปกติแล้ว เรามักจะเข้าร้านกาแฟสด เพื่อสั่งกาแฟร้อนหรือเย็นดื่มกันเป็นปกติ ซึ่งโดยทั่วไป กาแฟที่ทำจากร้านกาแฟสดรุ่นใหม่ๆ มักจะทำกาแฟจาก Espresso Machine เป็นหลัก แต่มีร้านกาแฟไม่มากนักที่จะมีทางเลือกให้แก่นักดื่ม ที่ต้องการมากกว่ากาแฟทั่วๆไป เพราะอะไรนั้นหรือครับ ผมคิดว่าเป็นเพราะวิวัฒนาการและความเป็นไปของวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในบ้านเราเป็นไปอย่างก้าวกระโดด คือจากกาแฟโบราณ แล้วเข้าสู่กาแฟลักษณะที่เรียกว่าEspresso เลย จะมีบ้างก็เป็นช่วงเล็กๆก่อนที่จะเกิดกระแสบูมกาแฟสดเช่นในปัจจุบัน(เล็กและสั้นจริงๆ คือไม่น่าจะเกิน 3 ปีที่มีกาแฟลักษณะแบบนี้) บ้านเราโดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ผมยังทันเป็นเครื่องชงแบบไซฟอน ทำกันในห้างคลังพลาซ่า เมื่อสัก20ปีก่อน สมัยนั้นเห็นวิธีการชงแบบนี้แล้วตื่นเต้นเป็นบ้าเลย และทุกวันนี้ก็ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่ชงกาแฟด้วยวิธีการไซฟอน (ไว้ว่างๆจะมาเขียนเล่าเรื่องนี้ต่อครับ)

เครื่องชงกาแฟแบบไซฟอน

และจากจุดนั้นก็ก้าวข้ามเป็นกาแฟ Espresso กันเลย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม คนไทยถึงมีความเข้าใจในวัฒนธรรมกาแฟสดหรือกาแฟ Espresso น้อยมาก ดูได้จากที่ยังมีลูกค้าจำนวนมากสั่ง เอสเพรสโซ่เย็นกันอยู่ เพราะเราไม่เข้าใจ ว่าจริงๆแล้ว เอสเพรสโซ่ คืออะไร

Espresso

ผมมองว่าเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ซึ่งผมมักจะยกตัวอย่างเรื่องส้มตำให้ลูกค้าของผมฟังอยู่บ่อยๆ เพราะส้มตำ คือวัฒนธรรมไทย เราคนไทยเข้าใจ ในขณะที่ฝรั่งเห็น แต่ไม่เข้าใจ เช่นบนโต๊ะอาหาร มีตำไทย, ตำลาว, ตำซั่ว, ตำมั่ว, ตำผสม ฯลฯ ถามว่าฝรั่งเห็นแล้วฝรั่งจะตอบว่าอะไร ฝรั่งก็คงตอบว่าทั้งหมดนี้คือ Papaya Salad แต่จะถามว่าฝรั่งแยกออกไหมว่าอะไรคืออะไร ถ้าไม่ใช่ฝรั่งที่อยู่บ้านเรามานาน และรู้จักวัฒนธรรมส้มตำแล้วล่ะก้อ ไม่รู้ไม่เข้าใจ

ในทางกลับกัน เราคนไทย ถึงไม่เข้าใจว่ากาแฟแต่ละตัว แต่ละเมนู คืออะไร เราก็คิดว่า ไอ้น้ำดำๆขมๆหอมๆ นี้ล่ะเขาเรียกว่ากาแฟ (ก็เช่นกันไว้โอกาสหน้าจะมาเล่าให้ฟังใหม่ เรื่องเมนูกาแฟ) เดี๋ยวจะออกนอกประเด็นและหาทางกลับไม่ถูก ^__^ เอ้า กลับมาเรื่องที่จะเล่าให้ฟังกันดีกว่าครับ

วันนี้เลยอยากจะมาเล่าเรื่อง เครื่องชงกาแฟ อีกแบบหนึ่ง ให้ได้รู้จักกัน

Moka Pot

เป็นเครื่องชงกาแฟที่มีถิ่นกำเนิดที่อิตาลี เมื่อประมาณปี 1933 โดยมี นาย Alfonso Bialetti เป็นผู้ประดิษฐ์ หม้อต้มอลูมิเนียม และใช้หลักการของเครื่องดันไอน้ำสร้างเจ้า Moka Pot ขึ้นมา ซึ่งจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ลักษณะหม้อต้มตัวนี้ ก็แทบไม่ีเปลี่ยนแปลงเลย จนมีคำกล่าวว่า ในทุกบ้านของคนอิตาลี อย่างน้อยก็ต้องมี Bialetti อย่างน้อย 1 ใบ จึงมองสะท้อนได้ว่า คนอิตาลี คลั่งใคล้กาแฟมากขนาดไหน และปัจจุบันก็มีให้เลือกกันหลากหลายรูปแบบ บางตัวสามารถใส่นมลงไปด้านล่างแล้วทำคาปูชิโน่ได้เลย หรือเป็นแบบมีเสียงนกหวีดเวลากาแฟเดือดเต็มที่ ก็มี

และบางครั้งเราอาจจะเรีัยก เจ้าMoka Pot ว่าเป็นเครื่องชง เอสเพรสโซ่ ขนาดจิ๋ว หรือเครื่องชงเอสเพรสโซ่แบบใช้ในบ้านก็พอได้ เพราะมีลักษณะของการใช้แรงดันน้ำที่เดือดจัด กลั่นกาแฟออกมา แต่ในความเป็นจริง รสชาติที่ได้ไม่เหมือนกันเลย แต่ผมก็ชอบเพราะจะได้อารมณ์ ดิบๆ เข้มๆ คล้ายดูหนังคาวบอยแล้วเห็นเขาต้มกาแฟดื่มกันอย่างงั้นเลยครับ

งั้นเรามาตั้งเตา เริ่มชงกาแฟกันเถอะ^^

ต้องขอสารภาพว่าเมื่อก่อน ไม่ชอบดื่มกาแฟจาก Moka Pot เลย เพราะรู้สึกว่า มีแต่รสขมอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจกาแฟที่ชงแบบนี้ต่างหากล่ะ ขั้นแรกต้องบดกาแฟให้มีความละเอียดที่ถูกต้อง คือบดให้หยาบมากกว่าที่จะชงด้วยเครื่องเอสเพรสโซ่สักหน่อย แต่ก็ยังไม่ละเอียดเท่าที่จะนำไปใช้ชงด้วยวิธีการดริป งงไหมเนี่ย ก็เอาเป็นว่า ใครมีเครื่องบดกาแฟสำหรับชง เอสเพรสโซ่ ก็ให้ปรับผงกาแฟให้หยาบขึ้น เพราะถ้าบดละเอียดไป ผงกาแฟจะไหลออกมากับน้ำกาแฟมากเกินไปทำให้ติดขม และมีโคลนออกมาเยอะ แต่ถ้าหยาบไปก็ไม่สามารถสกัดกาแฟออกมาได้ดี ยิ่งถ้าจะให้ดีมีเครื่องบดมือหมุนดีๆสักเครื่อง ยิ่งทำให้บรรยากาศการร่ำกาแฟ ดูคลาสสิกขึ้นอีกเป็นกอง สองกองเลย 555

เติมน้ำให้ถึงแค่ระดับวาล์วน้ำ อย่าเยอะ ^^ น้ำที่ต้มควรจะเป็นน้ำร้อน เพราะจะได้ไม่ต้องรอกันนานกว่าน้ำจะเดือด ถ้าให้สะดวกควรใช้เครื่องต้มไฟฟ้า เพราะจะยิ่งทำให้เดือดเร็วขึ้น และไม่ต้องคอยกังวลว่าก้น Moka Pot จะดำไหม แต่ที่ผมใช้จะเป็นเครื่องจุดแก๊สขนาดเล็ก ก็ได้อีกบรรยากาศนึง

กาแฟที่บดได้ นำมาใส่กระเปาะให้เต็ม และควรกดให้แน่น นิดหนึ่ง จากประสบการณ์ กดให้แน่น ผลที่ได้จะดีกว่ากาแฟที่ไม่กดครับ แต่ก็ไม่ใช่กดแรงแบบที่ชงเอสเพรสโซ่นะครับ ไม่งั้น น้ำกาแฟคงไม่ไหลออกมาให้ดื่มกันแน่

น้ำกาแฟเริ่มไหลออกมาแล้ว

ประกอบและปิดให้แน่นสนิท ตั้งไฟ รอ………… แล้วกลิ่นกาแฟก็เริ่มโชยออกมา ไม่นานน้ำกาแฟก็ค่อยๆไหล จนเต็มโถด้านบน เอาไฟออก ตั้งรอไว้สักหน่อย รอให้เย็นนิดนึง จากนั้นก็ค่อยๆรินกาแฟออกมาดื่มกัน หากยังติดขมอยู่ก็อาจจะเติมน้ำตาลสักช้อนชา แค่นี้ก็สุขแล้วครับ

กาแฟที่ได้จะมีรสชาติที่เข้มข้นมากๆ จึงสามารถนำไปทำกาแฟเย็นอร่อยๆได้ไม่ยากครับ วิธีการ เมื่อได้น้ำกาแฟจาก Moka มาเติมน้ำตาลลงไปขณะยังร้อนอยู่ น้ำตาลจะได้ละลายง่ายๆ จากนั้นเทไว้ก้นแก้วขนาด 16 Oz. ใส่น้ำแข็งเกล็ดให้เต็ม และรินนมสดตามลงไป เวลาดื่มก็ให้คนให้เข้ากันอีกที แค่นี้ก็ได้ Iced Latte Moka แล้ว

ขอให้สนุกกับการดื่มกาแฟนะครับ

ป.ล. แต่ถ้าคิดว่ายุ่งยาก หรือทำแล้วไม่เวิร์ก ก็แวะมาดื่มได้ที่ร้านครับ ^^ (อดโฆษณาร้านตัวเองไม่ได้ 555+)

ตัวนี้เป็นของยี่ห้อ Bialetti แปลกดี ตรงเวลากาแฟไหลออกมา

จะไหลเหมือนกลั่นช็อต เอสเพรสโซ่เลย ^^

Cupping for Teddy’s Espresso Blend

วันนี้ได้กาแฟตัวใหม่จาก พี่ีดม แห่ง Mister’s Lee ขอนแก่นมา 3 ตัว เลยมาลอง Cupping กันดูครับ กาแฟ 3 ตัวนี้ได้แก่ Brazil Sul De Minas, Guatemala Huehuetenango, Ethiopia Yirgacheffe

โดยเมล็ดกาแฟในล็อตนี้ ถือว่าเป็นล็อตใหม่ล่าสุดของพี่ดม ที่เพิ่งจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงขอนแก่นได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ และเมล็ดกาแฟที่ผมสั่งจากพี่ดม ในครั้งนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อนำมาทำเป็น Espresso Blend ของที่ร้านครับ ดังนั้น เมล็ดกาแฟจึงถูกคั่วในระดับ Full City

เรามาเริ่มกันเลยนะครับ


ชั่งน้ำหนักสำหรับ Cupping ตัวละ 10g.


บดกาแฟ ด้วย Anfim Best ตัวเก่ง


ไล่จากซ้ายไปขวา Brazil Sul De Minas, Guatemala Huehuetenango,

Ethiopia Yirgacheffe

Brazil Sul De Minas
Aroma : Caramel, Milk Chocolate, Butter, Sweety, Nutty จางๆ, Honey เบาๆ
Taste : หวานอมเปรี้ยว แต่ติดรสขมมากกว่า, Peanut Roasted และ Smoke หน่อยๆ
Body : กลางๆ
Acidity : กลางๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น
Aftertaste : ไม่ค่อยดีนัก มีรสฝาด ขมติดลิ้นและคอ ยาวนาน

Guatemala Huehuetenango
Aroma : Sugar Browning, Chocolate, Nutty, Vanilla และเหมือนมี Syrupy กรุ่นๆ
Taste : Sweet คล้ายๆ ผลไม้สุกจำพวกลูกท้อ ผลบ๊วยหรือ Apricot เปรี้ยวหวาน ติดเค็มเล็กน้อย ขมเล็กน้อย ดื่มสบาย
Body : ดีมาก ค่อนข้าง Full Body
Acidity : ดีมาก สดใส
Aftertaste : ดี  / clean

Ethiopia Yirgacheffe
Aroma : Floral, Coriander Seeds ชัดมาก, Lemon, ดอกไม้แห้งจางๆ แอบมี Plum เบาๆ
Taste : Sweet หอมหวาน มีรสอมเปรี้ยวแต่ไม่มากนักกำลังดี
Body : เบาๆ ใสๆ ไม่หนัก
Acidity : ดีมาก สดใส สดชื่น
Aftertaste : ดี รู้สึก Clean ลมหายใจกรุ่นอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้แห้ง หอมมาก และยาวนาน

ทั้งหมดนี้ เป็นการ cupping โดยผมกับคุณอ้อ แล้วนำสิ่งที่พบในกาแฟทั้ง 3 ตัว มาถกกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความคิดเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน จะมีเห็นต่างกันบ้างในรายละเอียดเล็กน้อย อีกทั้ัง เราทั้งสอง ยังถือว่าเป็น sensory practicing อยู่ (ชอบคำนี้ของคุณมดแดงไฟจัง ^^) จึงอาจจะยังมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้บ้าง

เมล็ดกาแฟดังกล่าว ผมได้นำมาใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับ Espresso Blend ของทางร้าน ซึ่งนอกจากการใช้เมล็ดกาแฟทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว เราได้ใช้เมล็ดกาแฟไทยจากดอยช้างในเบลนด์นี้อีกด้วย โดยผมได้ตั้งชื่อเบลนด์นี้ว่า Big Bear Blend เบลนด์หมีใหญ่ใจดี ครับ

สำหรับท่านใดที่สนใจจะชิมกาแฟเบลนด์ตัวนี้ สามารถมาดื่มกันได้ที่ร้าน Teddy Coffee นะครับ หรือหากต้องการพูดคุยสอบถามรายละเอียด กรุณาติดต่อที่เบอร์ 081-282-5177 ได้ตลอดเวลาครับ

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ขอถอนหายใจยาวๆสักทีครับ

เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาปีกว่าๆ เป็นอะไรที่ทำงานหนักมาก และเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตหนุ่ม(อายุ)น้อยๆคนนี้ เลยที่เดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอเล่าเป็นเรื่องๆก่อนก็แล้วกัน ซึ่งบางเรื่องก็เริ่มเป็นข่าวเก่าแล้ว แต่เห็นว่ายังไม่ได้เล่าให้ฟังกัน

เรื่องแรก………………… ถึงเวลาเปลี่ยน

เมื่อครั้งที่เริ่มธุรกิจร้านกาแฟ ในแนวอินดี้ คาเฟ่ ใหม่ๆ ผมคิดเพียงแต่อยากทำร้านกาแฟที่ดีๆ ใส่ใจในคุณภาพกาแฟให้ได้มากที่สุด เท่าที่ศักยภาพของเราพึ่งจะทำได้ เมื่อจะทำโลโก้ร้าน เราถึงคิดเพียงแต่ว่า จะให้น่ารัก เป็นที่จดจำ และสื่อสารให้ได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งในขณะนั้น เรามีบริการกาแฟ, อินเตอร์เน็ท และหนังสือ

เลยลองคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งให้ช่วยออกแบบให้ตามคอนเซ็ปดังกล่าว

และโลโก้ที่ได้มาในวันนั้น โอเค มากๆเลย ตรงตามกับที่ต้องการทั้งหมด

โลโก้เ่ก่า

Logo เจ้าของเก่า

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราได้ลอง Search ภาพใน Google จึงพบว่า โลโก้ของเราไปคล้ายๆกับของท่านอื่นเข้า ผมจึงต้องเปลี่ยนโลโก้ เพราะถ้าวันนี้ ผมเปิดร้านขายกาแฟ ทั่วๆไป อยู่แค่ภายในโคราช ผมก็อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ ณ วันนี้ เราเริ่มจะก้าวออกไปสู่โลกที่กว้างขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโลโก้ที่เป็น unigue ซึ่งคราวนี้ได้เพื่อนที่เคยเรียนร่วมกันมาตั้งแต่สมัยเรียนออกแบบที่เทคโน ราชมงคล โคราช มาเป็นผู้ออกแบบให้ ซึ่งปัจจุบันนี้เพื่อนคนนี้ก็รับตำแหน่งอาจารย์ในคณะออกแบบ มหาลัยราชมงคล โคราช ที่เดิมที่เราเคยเรียนมาด้วยกัน ต้องขอขอบคุณอาจารย์อ้อ ด้วยนะครับ ที่ออกแบบโลโก้ใหม่ได้น่ารัก ขนาดนี้

New Logo Teddy Coffee

ถึงเวลาเปลี่ยน เรื่องที่2

เปลี่ยนเครื่องชงกาแฟ

แอบใช้เครื่องชง G10 มาหลายเดือน ถึงเวลาที่เค้าจะต้องไปทำงานในร้านที่ตั้งใจซื้อมาใช้ตั้งแต่แรกแล้วเลยต้องมองหาเครื่องชงตัวใหม่ อย่างที่เคยเล่าไว้ ว่า ไอ้ตอนยังไม่รู้เรื่องกาแฟ ว่าเลือกเครื่องชงยากแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยในเวลาที่เรามีความรู้เรื่องกาแฟมากขึ้น มีหลายอย่างที่ต้องคิด และตัดสินใจ ว่าจะเอาเครื่องตัวไหนดี ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของเราได้มากที่สุด ลังเลอยู่นานมาก จนมาวันหนึ่ง ได้มีโอกาสไปช่วยพี่ไนซ์ แห่ง P&F Coffee ในงาน Grand Barista Championship Thailand 2009 ที่ผ่านมา โดยมีพระเอกของงานเป็นเครื่องชงสุดหรู ที่ชื่อว่า Orchestrale รุ่น etnica http://www.didsrl.com/index.html ใช้ในการแข่งขันรายการนี้อย่างเป็นทางการ

etnica

เมื่อได้คลุกคลีอยู่กับเจ้าเครื่องนี้ประมาณ 4-5 วันในงาน ก็เกิดอาการหลงรัก (แบบว่าใจง่ายอ่ะ) จึงได้เลียบๆเคียงๆ กับพี่ไนซ์ ว่าคิดอย่างไร ถ้าจะสู่ขอเจ้าเครื่องนี้จะไปอยู่ที่โคราช เมื่อคุยตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้า Orchestrale ตัวนี้จึงได้มาประจำการที่ Teddy Coffee

และจากวันนั้นมา เจ้าwolverine (ชื่อเล่นที่แฟนผมตั้งให้ มาจากรอยด้านข้างของเครื่องที่เหมือนถูกเจ้าwolverine ขวนมา) ก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลย ช็อตกาแฟที่งดงามและนิ่งมากๆ ทั้งๆที่เป็นเครื่องระบบ HX (heat exchange) แต่กลับปรากฏว่า การที่จะทำให้กาแฟเบิร์นนั้นทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเคยกลั่นช็อตกาแฟที่ใช้กาแฟ Timeless ของคุณบุ๊ง BKL. ซึ่งใช้เวลากลั่นช็อตนานถึง 45-50 วินาที ก็ยังได้รสชาติที่ดีว่า ช็อตที่กลั่นแค่ 30 วินาที กลิ่นไหม้ แทบหาไม่เจอ บอดี้แน่น แปลกดี

ช็อต Espresso งามได้ใจ

และอาจจะต้องยกความดีให้กับหัวกรุ๊พ E61 ด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ อิอิ เพราะก็แทบจะไม่ต้องฟลัชน้ำเลย เคยใช้งานหนักๆประมาณ ชงต่อเนื่อง 700 กว่าแก้วในเวลา 4 ชั่วโมง การทำงานก็ราบรื่นดี ไม่สะดุด

เรื่องการสตีม ก็แรงมากแต่นุ่มนวล ได้ลักษณะโฟมนมที่แน่น ละเอียดมาก ในเวลาอันสั้น

รูปลักษณ์นั้นไม่ต้องพูดถึงครับ สวยงาม หรูหรา ตามลักษณะอิตาเลี่ยนสไตล์ และคอนเซ็ปของเครื่องยี่ห้อนี้ก็คือ การทำกาแฟให้เป็นงานศิลปะ เค้าเปรียบได้น่าสนใจครับว่า

a passionate barman, the greatest conductor
a special coffee, the best composition
an Italian coffee machine… the finest orchestra

ยี่ห้อนี้ เลยใช้ชื่อว่า Orchestrale

หากใครอยากอ่านรีวิวมากกว่านี้ ก็ตามไปได้ที่บล็อกของคุณวุฒิ นะครับ เพราะคุณวุฒิ เขียนได้ดีกว่าผมเยอะ (ตามไป)

วันนี้ขอเล่าแค่ 2 เรื่องนี้ก่อนนะครับ วันหลังจะมาอัพเดท เรื่องราวต่างๆให้ฟังกันอีก

คิดถึงกันบ้างไหม

นานมากๆเลยครับ สำหรับการเขียนบล็อกนี้ อาจเป็นเพราะ(เอาแล้ว เริ่มแก้ตัวแล้ว) ช่วงปี-2ปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยว่าง สมาธิสั้น กิจกรรมเยอะ และสิ่งสำคัญคือ การที่ไม่ได้เขียน นานๆ มันเริ่มเกิดอาการเขียนไม่ออก ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร เพราะมีเรื่องให้เขียนเยอะ หรือพอเริ่มเขียนไปแล้ว หาทางจบไม่ลงเป็นต้นครับ

แต่คิดว่า ต่อจากนี้ไป จะเริ่มกลับมาเขียน ให้มากขึ้น และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เรียนรู้ได้ว่า ต้องรีบเขียนทันที เมื่อมีเหตุการณ์ หรือข้อมูลที่จะเขียน พอเราเว้นวรรค ทิ้งระยะเวลาให้นานขึ้น เพราะใจหนึ่งก็คิดว่า จะได้มีเวลาขัดเกลาเรียบเรียง บทความให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น กลับเป็นความคิดที่ผิดสำหรับผม

ตอนนี้เลยกะว่า จะให้เวลาสัก สัปดาห์ละครั้ง สำหรับเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบพบเจอมา โดยเฉพาะในเรื่องของกาแฟ ครับ

และสำหรับ อีกหนึ่งช่องทาง ที่จะติดตามความเคลื่อนไหว ได้เร็วที่สุด ก็คงจะเป็นจากที่ Facebook นี้นะครับ

พิมพ์ค้นหา Teddy Coffee นะครับ

ขอบคุณครับ

หึ หึ หายไปนานเลยครับ
ตั้งแต่ธันวาปีก่อน มีข่าวบางกระแสก็ว่า หมีใหญ่ไปหลงสาวพม่าไม่ยอมกลับบ้านบ้างล่ะ มันตกท่อหายไปบ้างล่ะ
ก็เอาเป็นว่า ยังอยู่ครบ32 ครับ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น(ธันวาปีที่แล้ว) มีงานเข้าตลอดครับ จึงไม่ค่อยได้ว่างเล่นเน็ทอย่างชาวบ้านเขา
และมักจะมีงานแบบด่วนๆมีให้ทำประจำ
ช่วงนี้ยิ่งยุ่งใหญ่ เพราะกำลังมีโปรเจกใหญ่ที่แอบซุ้มทำมานาน เอาไว้เสร็จแล้วจะได้เปิดตัวกันอีกที
คงไม่เกินสิ้นเดือนนี้ล่ะครับได้เห็นแน่
และจะรีบกลับมาสะสางการบ้านเก่าๆที่ค้างเอาไว้นะครับ
ไปล่ะ

หมีใหญ่ไปเชียงตุง

หลังจากเหนื่อยกับงานมาทั้งปี ก็ถึงเวลาเที่ยวแว้ว
พอดีบริษัทที่ผมทำงานอยู่ เขาชวนแกมบังคับให้ไปเที่ยวเชียงตุงกับผู้บริหารบริษัท และเหล่าเอเย่นต์ทั่วประเทศ (แหม บังคับอย่างนี้ชอบ^^V) ไอ้กระผมก็ได้ทีโดดงานไปเที่ยว คาดว่าจะได้ไปเก็บเกี่ยวรูปงามๆและประสบการณ์การผจญภัยมาเล่าให้เพื่อนๆฟังนะครับ และไม่ลืม ที่จะไปลองหากาแฟพื้นเมืองมาชิม ยั่วน้ำลายท่านๆทั้งหลาย ระหว่างวันที่21-25ธ.ค.นี้ จะกลับมาเมืองไทยพร้อมซานตาครอสเลยครับ บาย

วันนี้ได้รับเมล์จากเพื่อนสนิทคนหนึ่งส่งมา พร้อมคลิปYouTube เป็นคลิปรายการ Good Morning America ในคลิปนั้น มีบางอย่างสะกดผมให้ตกอยู่ในภวังค์ความตื่นเต้น, มหัศจรรย์และหลงรักสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ ขึ้นมาในทันที Charice Pempengco คือชื่อของเธอ แม้ใครจะมีสาวน้อยมหัศจรรย์คนใดมาก่อน ผมไม่รู้ รู้แต่ว่านี้ล่ะของจริง

สาวน้อยคนนี้เป็นชาวPhilippine อายุเพียง 16 ปี จากเด็กที่โตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ ในขณะที่เธอยังเล็กมาก พ่อทะเลาะกับแม่จนเกือบฆ่า แม่ของเธอต่อหน้า เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เธอยังคงอยู่กับแม่มาตลอด ด้วยฐานะที่ยากจน เธอเริ่มประกวดร้องเพลงเมื่อ 7 ขวบ เพื่อจะนำเงินที่ชนะการประกวดมาให้แม่ และเธอก็ชนะมาเรื่อย จนกระทั่งด้วยเทคโนโลยี่ของYouTube มีคนนำคลิปการร้องเพลงของเธอเผยแพร่ จึงทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น มีคนเข้าเยี่ยมชมคลิปเป็นแสน เคยไปออกรายการประกวดในเกาหลีใต้ และดังข้ามมายังสหรัฐ จนได้ออกรายการมากมาย หนึ่งในนั้นคือรายการของเจ้ใหญ่ Oprah Winfrey ด้วยน้ำเสียงอันมหัศจรรย์และทรงพลังของเธอทำให้ ป้าOprah ชื่นชมเป็นนักหนา พาไปรู้จักกับProducer มือทองของวงการเพลง นั้นคือ David Foster ผู้เป็นเสมือนคนเจียระไนเพชรที่เก่งมากๆ (ผมเองก็ชื่นชมเฮียแกมากๆ) นักร้องที่เฮียแกปั้นมา มีอาทิเช่น Michael Buble’ หนุ่มโรแมนติกของสาวๆหลายคน, Andrea Bocelli พ่อบอดเสียงพระเจ้า, Celine Dion เจ้าแม่Diva, Boyz II Men, The Corrs , Whitney Houston, Chicago, Barbra Streisand, Kenny Rogers, Michael Jackson,  Madonna และอื่นๆอีกมากมาย (โห.. เหนื่อย –” นี่ยังไม่หมดนะท่าน) และเป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่กว่า 15 รางวัล (สงสัยวันหลังเอาแต่เรื่อง ของพ่อคนนี้ก็ดีนะ) 

ซึ่งเมื่อทั้งคู่พบกัน แน่นอนว่าเราในฐานะแฟนเพลงตัวยงของเฮียDavid Foster นอนรอฟังผลงานเพชรอีกหนึ่งผลงานได้เลย ที่จริงก็มีแล้วล่ะในชื่อ ผลงานรวมฮิตกะเพื่อนผ่องน้องพี่ Hitman: David Foster and Friends (2008)

อ้าวแล้ววันนี้ พี่หมีใหญ่ไม่เขียนเรื่องกาแฟ รึเฮีย!!?? อืมก็กำลังจะเข้าเรื่องอยู่แล้วล่ะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า หลังจากที่ผมดื่มด่ำเป็นกับพลังเสียงร้องของ Charice ทำให้ผมได้คิดถึงเรื่องบางเรื่อง เรื่องแรกคือ “ความมุ่งมั่น” ความมุ่งมั่นของเธอที่จะเอาดีในสายงานนี้ โดยมีIdol ในดวงใจคือ Celine Dion เป็นแรงผลักดันให้เธอฝึกร้องเพลง ให้ได้พลังเสียงเช่นเดียวกับ Idol ของเธอ ผมอยากให้คนทำงานไม่ว่าอาชีพอะไร ขอให้ค้นหา Idol ของเราให้เจอ เพื่อที่ว่า เราจะได้มีเป้าหมายการทำงาน ให้ได้อย่างเขา และหากสามารถทำได้ดีกว่า ย่อมจะเป็นผลดีมากขึ้นเท่านั้น ในวงการกาแฟผมเองก็ถือว่าพึ่งจะเริ่มต้น แน่นอนผมก็มีIdol ในวงการกาแฟอยู่หลายคน พวกเขาเหล่านั้นเป็นเสมือนจุดหมายที่เราอยากเป็น และอยากไปให้ถึง.

ข้อคิดเรื่องที่สองคือ หากเปรียบ Charice เป็นดั่งเมล็ดกาแฟที่ดี เธอย่อมต้องการRoasterที่ดีและรู้ว่าจะคั่วเธอ(กาแฟนะ ไม่ใช่คั่วแบบที่คุณกำลังคิด อิอิ) ในอุณหภูมิแค่ไหน และต้องการบาริสต้าที่เข้าใจเธอ ว่าควรบดเธอให้ละเอียดแค่ไหน และจะชงเธอออกมาให้อร่อยได้อย่างไร ซึ่งก็เปรียบเช่น เฮียDavid Foster ว่าจะปรุงเธออย่างไรให้ดีขึ้นไปอีก

และแน่นอนว่าหาก เราได้เมล็ดกาแฟที่ไม่มีคุณภาพมาใช้ เชื่อไหมว่า เราแทบไม่อยากจะชงจะชิมเลย บาริสต้าที่ดีจึงจำเป็นต้องสรรหากาแฟดีๆ และต้องรู้ว่าเมล็ดกาแฟที่ดีเป็นอย่างไร เพื่อนำมาชงกาแฟ เสิร์ฟให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำกับอรรถรสของกาแฟที่เราบรรจงทำให้ แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตามที

ส่วนเรื่องสุดท้ายก่อนจะไปชมคลิปกัน ซึ่งหามาให้ดู 4 คลิป นั่นคือ เด็กเดี๋ยวนี้เก่งๆกันทั้งนั้น มีโอกาสและสามารถขยายศักยภาพของตนเองได้มากมายหลายวิธี ดูอย่างกูรูกาแฟในเมืองไทยหลายๆคนที่ผมรู้จัก ล้วนแต่เด็กกว่าผมทั้งนั้นเลย กลายเป็นว่าผมดันเป็นผู้อาวุโสไปอย่างไม่ตั้งใจเลย (ไม่เด็กมั่งก็แล้วไป 555+)

คลิปแรกในรายการ Good Morning America น้องCharice กะเฮีย David Foster มีหลายเพลงและพูดคุย Interview

ในรายการของป้า Oprah Winfrey เมื่อ SEPT. 9, 2008 เขาเรียกว่าอะไรหน่า อ้อ A Dream Comes True ไงล่ะ

ส่วนคลิปนี้เป็นตอนที่หลังจากออกรายการของป้าOPRAH แล้วป้าทำเซอร์ไพรส์ให้ Charice ได้คุยกะCeline Dion ซึ่ง Celine ได้เอ่ยปากชวนเป็นนักร้องรับเชิญในคอนเสิร์ทที่Madison Square Garden (ดูแล้วขนแขน stand up) ในเพลง Because you Loved Me ร้องให้คุณแม่ที่มาให้กำลังใจข้างเวที สุดยอด!

และคลิปสุดท้ายนี้ ขอให้เป็นของขวัญวันเกิดแฟน ของหมีใหญ่ก็แล้วกันนะครับ(ขอ Sweet หน่อยนะ กิ๊ก กิ๊ก)

ชอบ ไม่ชอบก็บอกกันได้เด้อ ข้อยจะได้มีแรงหาเรื่องมาโม้ใหม่ กิ๊ก กิ๊ก 😛

ต้องยอมรับหน้าด้านๆกะแฟนๆบล็อกว่า ในบางอารมณ์ก็มีเบื่อๆ ไม่อยากจะเขียนอะไร เหมือนกัน ยิ่งในช่วงสถานะการณ์ที่ผ่านมา และยังฝุ่นตลบกันอยู่ ยังไม่นิ่ง ทำให้พาลเบื่อเอาง่ายๆ

แต่พอมีเรื่องอยากจะเล่า ดันมีหลายๆเรื่องประดังเข้ามาไม่ขาดสาย งั้นก่อนจะไปเรื่องปัจจุบัน ก็ขอย้อนไปเล่าเรื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากการที่ผมและคุณบุ๊งได้ร่วมกันจัดกิจกรรมคับปิ้งให้บรรดาลูกค้าคอกาแฟดำที่โคราชได้ ทดลองและเรียนรู้เรื่องกาแฟผ่านไป

img_2918

ในเช้าอีกวัน เรา 3 คน (ผม, caesarlab และคุณบุ๊ง) ก็เริ่มต้นการเดินทางออกหาเสียง(คนรักกาแฟ) ในภาคอีสานกัน จังหวัดแรกของทริปนี้ เราเริ่มที่ ชัยภูมิ ร้านของน้องดาว อราบิก้าไทยรุ่น10 โดยคุณบุ๊งได้หอบเครื่องชง VBM ไปส่ง ในขณะที่ผมก็หอบน้ำเชื่อมอร่อยๆ อย่างเจ้า Monin ไปส่งเช่นกัน ชัยภูมิในความทรงจำของผมในครั้งยังเยาว์วัย ช่างแตกต่างจากวันนี้โดยสิ้นเชิง มีห้างร้านค้าใหญ่โต ทั้งไทยและเทศ เบียดกันอยู่เต็มเมือง ร้านของน้องดาว เป็นร้านกาแฟเล็กๆในร้านค้าวัสดุก่อสร้างใหญ่ของครอบครัว ซึ่งเห็นว่าขายกาแฟดีมาก จนต้องสั่งเครื่องตัวใหม่จากคุณบุ๊ง ซึ่งผมก็ได้สังเกตุเห็นความตั้งใจและพัฒนาการของร้านนี้ ตามลำดับ จากเครื่องชง Silvia กับคู่ขา Rocky ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องบดชั้นดี อย่าง Anfim Caimano และสุดท้าย ที่ไม่ท้ายสุด กับเครื่องชง VBM

img_2921

วันที่ไป เป็นวันอาทิตย์ ปกติแล้วร้านนี้จะปิด หนึ่งวันเพื่อพักผ่อน แต่วันนี้ต้องเปิดเพื่อรอรับเครื่องชงตัวใหม่ ระหว่างที่คุณบุ๊งติดตั้งและทดสอบเครื่องชง ก็ปรากฎว่ามีลูกค้าที่ผ่านไปมา เห็นว่าร้านเปิด จึงเดินเข้ามาสั่งกาแฟกัน ที่แรกน้องดาวก็บอกว่าวันนี้ไม่ได้ขาย แต่ก็ทนเสียงรบเร้าของลูกค้าไม่ได้ และถือเป็นการลองเครื่องไปในตัว กาแฟที่ร้านนี้ใช้ มีทั้งกาแฟไทยและกาแฟนอกดีๆอย่าง Rainbow Runner ของคุณดม Mister Lee ขอนแก่นด้วย

img_2926

ในช่วงเวลานั้น ประมาณ2 ชั่วโมงที่เราอยู่กัน มีลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อตลอด ไม่ต่ำกว่า20แก้ว พระเจ้า ! ขายดุอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงๆ

เมื่อได้เวลาอันสมควรก็ต้องลาจาก เพื่อไปขอนแก่นกันต่อ

จุดหมายต่อไปคือ ร้าน Mister Lee ที่ขอนแก่นนั่นเอง ซึ่งเรากะกันว่าจะไปเซอร์ไพรส์คุณดม จึงไม่ได้โทรนัดล่วงหน้า ไปถึงก็นั่งรอกับซดกาแฟ Ethiopia Yirgacheffe จากเจ้า Clover อันลือลั่น แกล้มไอสครีมแมคคาเดเมียนัทไปพลางๆ แต่ไหนๆก็มาถึงขอนแก่นแล้ว ขออนุญาติไปหาน้องJob ที่เคยมาเรียนกาแฟกับผมแล้วมาเปิดร้านกาแฟอยู่หลัง มข. กันดีกว่า

img_2943

img_2944

ร้าน Job Coffee อยู่หลัง มข. ทางไปโนนม่วง ถือเป็นอีกร้านที่มีความตั้งใจในการทำกาแฟที่ดี ส่วนเครื่องชง เครื่องบดก็ใช้รุ่นพิมพ์นิยมกะเขาเช่นกันคือ VBM+Anfim Caimano แต่ด้วยวันนั้นซัดกาแฟไปค่อนข้างเยอะแล้ว เลยขอผ่านก่อน บรรยากาศภายในร้านก็ดูสบายๆ มีเอาดอร์เป็นสวยเล็กๆ น่ามานั่งปล่อยอารมณ์ ดื่มกาแฟจริงๆ

img_2940

ได้เวลานัดกับคุณดม เราก็บอกลาและไปเจอคุณดม กับน้องมด Skipper เพื่อไปทานอาหารค่ำกัน

พอเช้าทีมคนกาแฟก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือของอีสาน ไปชมน้ำโขงที่หนองคาย และพบปะกับคุณหมอลูกค้าของบุ๊ง เสร็จสรรพดิ่งรถลงใต้ แฉลบขอนแก่นไปกาฬสินธุ์ เพื่อไปส่งเครื่องชง Oscar กะเครื่องบดK3 ให้ลูกค้าของผม ซึ่งมาเรียนกาแฟกับหมีใหญ่และกำลังจะเปิดร้านกาแฟในตัวเมืองกาฬสินธุ์ เมื่อตั้งและทดสอบเครื่องว่าพร้อมใช้งานได้แล้ว เราก็ลุยกันต่อ ไปหาคุณหงา ร้านกาแฟที่อร่อยที่สุดในสุวรรณภูมิ (ที่ไม่ใช่สนามบินแต่เป็นอำเภอในร้อยเอ็ด) ไปถึงก็ประมาณ 4ทุ่ม ร้านคุณหงายังมีลูกค้าอยู่เลย (เหนียวแน่นกันดีจัง) ตกลงคืนนั้น เรา3คนเข้าพักที่ หงาอินน์ ประหยัดที่พักได้คืนหนึ่ง คิดดูแล้ว วันนี้เราเดินทางได้เกือบพันกิโลได้มั๊ง^^

img_2972

img_2964

img_2952

อรุณสวัสดิ์ที่แผ่นดินทอง(สุวรรณภูมิ) จังหวัด101 เช้านั้นคุณหงา ได้เลี้ยงกาแฟยามเช้าด้วยกาแฟจากแทนซาเนีย ซึ่งคุณหงาลงทุนคั่วกาแฟเอง เบลนด์เอง แอบไปดูหลังร้านก็เห็นเครื่องคั่วGene ตัวจิ๋ว พร้อมสารกาแฟจากที่ต่างๆทั่วมุมโลก ได้แอบซ่อนตัวอยู่ในเมือง101 รอเวลาคั่วอย่างระทึก ต้องยอมรับว่าคุณหงาไม่ธรรมดาจริงๆครับ และความตั้งใจในการทำกาแฟนั้นก็มีสูงมาก เพราะจะให้ผมคั่วกาแฟเพื่อขายแบบคุณหงา ผมเองคงไม่สามารถเช่นนี้ ปัจจุบันคุณหงาเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลประจำอำเภอ พอตกเย็นเลิกงานก็กลับมาคั่วกาแฟตามใจฉัน เช่นวันนี้คั่วบราซิล พรุ่งนี้คั่วสุมาตรา เสร็จสรรพก็นำมาเบลนด์ตามที่ตนเองต้องการ ดูมีความสุขมากครับ อิจฉา

img_29532

img_2959

img_2960

จากร้อยเอ็ด เรามุ่งลงสุรินทร์ และมาถึงร้าน Klim ในตัวเมืองบุรีรัมย์ ของคุณแป๋ง ร้านนี้ผมชอบตรงการทำร้านแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากร้านขายนมห้องเดียวเมื่อได้รับผลตอบรับดีก็ทำการขยายห้องไปข้างๆอีก แบ่งโซนและมุมนั่งได้น่าสนใจ สามารถให้ลูกค้ามีความเป็นส่วนตัวได้ไม่ยาก จะว่าไปร้านนี้หาไม่ยาก ยิ่งถ้าคุณมาบุรีรัมย์โดยทางรถไฟ คุณจะเจอร้าน อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟเลยล่ะ

img_2984

img_2986

img_2976

img_2974

ได้พูดคุยเรื่องกาแฟและแนวทางในการปรับปรุงให้กาแฟมีคุณภาพมากขึ้น อร่อยมากขึ้นไปอีก ทำอย่างไร แก้ปัญหากันอย่างไรแล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้านแล้วหละ

img_29202

งานนี้หมีใหญ่ต้องขอขอบคุณ คุณบุ๊งที่มาเยี่ยมและช่วยจัดกิจกรรมดีๆ เพื่อนๆทุกๆท่านที่หมีใหญ่ผ่านไปทักทายและพูดคุย หวังว่าจะทำให้ทุกท่าน Happy ไปกับผมนะครับ

กาแฟดำ หวานจริงๆ

วันนี้เป็นวันที่เหล่าพสกนิกรชาวไทยร่วมน้อมส่งเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สู่สวรรคาลัย

ซึ่งหลายๆท่านคงได้ติดตามจากทีวีและสื่อต่างๆ

 

และในช่วงบ่ายของวันนี้ นอกจากการติดตามเฝ้าดูพระราชพิธีฯ ตั้งแต่เช้า ผมเองก็มีกิจกรรมที่ต้องเร่งจัดการ นั้นคือ กิจกรรม Meeting Coffee Lovers#2 โดยมีผู้สนใจและเป็นคอกาแฟเข้าร่วมทั้งหมด 8 ท่าน ซึ่งงานนี้ได้คุณบุ๊ง เป็นผู้นำการคัพปิ้ง ผมรู้สึกปลื้มใจที่เห็นคนสนใจในงานนี้ บางท่านมาไกลมาก เช่นคุณTop นฤพนธ์ ได้ตีรถจากกรุงเทพมาตั้งแต่เช้า, คุณเป๋ง ธนธัช มาจากบุรีรัมย์, น้องมด Skipper ก็บึ่งรถมาจากขอนแก่นเพื่องานนี้โดยเฉพาะเช่นกัน

งานนี้เราได้ดื่มกาแฟจากดินแดนต่างๆทั่วทุกมุมโลก

เริ่มจาก กาแฟไทย ตามด้วยกัวเตมาลาร์, บราซิล, สุมาตรา, รวันดา, เอธิโอเปีย แล้ววกกลับมาไทยกันอีกรอบ

หลายๆท่าน ยังไม่มีประสบการณ์ในการดื่มกาแฟแบบนี้ จึงทำให้หลายคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับรสสัมผัสใหม่ๆในการดื่มกาแฟดำ และความรู้สึกเดิมๆก็หายไป ความรู้สึกนั้นคือ กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล= กาแฟขม

ความรู้สึกอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมก็คือ ความรู้สึกดีๆ ในวงสนทนา ระหว่างดื่มกาแฟกัน เราได้แลกเปลี่ยนและพูดคุยตามประสาคนรักกาแฟด้วยกัน หลายท่านได้ทดลองชงกาแฟด้วยวิธีการดริป จากแคมเม็กซ์ ในบรรยากาศโต๊ะกลมข้างสระว่ายน้ำบนชั้น3 ของโรงแรมราชพฤกษ์แกรนด์โฮเทล โคราช โดยมีคุณ Top ไพบูลย์ พฤกษ์พนาเวศ เจ้าของสถานที่ใจดี ให้คอกาแฟได้สังสรรกัน

ผมเองรู้สึกเสียดายงานนี้อยู่นิดเดียว ตรงที่จัดแบบเร่งรีบไปสักหน่อย ทำให้อีกหลายท่านพลาดโอกาสมาดื่มกาแฟกัน แต่จากเสียงตอบรับในกิจกรรมวันนี้ ทำให้คนทำกาแฟอย่างผม และคุณบุ๊งรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก และอาจจะมีกิจกรรมแบบนี้อีกในเร็วๆวันนี้

เด็กๆพนักงานของโรงแรม ก็พากันงงงัน ว่างานนี้เราขอแค่โต๊ะ เก้าอี้ แก้วเปล่า น้ำร้อน อย่างอื่นไม่ต้อง ขนมไม่กิน น้ำตาล ครีมเทียมไม่มี แล้วกาแฟดำๆมันจะอร่อยตรงไหนหนอ ซึ่งได้รับคำตอบจากผู้ที่มาดื่มคนหนึ่ง ตอบว่า “ก็กาแฟของเขาหวานจริงๆนี้หน่า” อิอิ ^_^

ปล. ภาพประกอบไม่มี เพราะลืมกล้องถ่ายรูปไว้ที่ร้าน และมัวแต่ยุ่งชงกาแฟ หากใครอยากดูภาพประกอบให้ตามไปดูได้ที่ http://bkksprolab.com/?p=436#more-436 นะครับ